บีเกิ้ลไม่ใช่แมวตัวแรกที่พี่แว่นเลี้ยง
ช่วงปี พ.ศ. 2554 มีแมวส้มตัวนึง อยู่ๆก็เดินมาที่หน้าบ้านแล้วมันไม่ไปไหนเลย นั่งมองเราอยู่อย่างนั้นหละ พี่แว่นจึงเปิดประตูมุ้งลวดเพื่อเชื้อเชิญให้มันเข้ามาภายในบ้าน “เมี๊ยววววว” แมวส้มตัวนั้นทักทายพี่แว่นครั้งแรก บ่งบอกถึงการสื่อสารว่า เลาขอเข้ามาอยู่นะแว่น
นอกจากพี่แว่นไม่ไล่มันออกไปแล้ว พี่แว่นยังซื้ออาหารและขนมเอามาบริการมันให้สำราญพุง หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา แต่มีข้อแม้นะ ต้องให้ทาสจกพุงนะ ซึ่งแมวส้มตัวนั้นก็ยอมแต่โดยดีครับ
-อีผึ้ง –
ชื่อของแมวส้มตัวนั้น
พี่ภูเพื่อนบ้านของพี่แว่น ชายผู้มีอุปนิสัยรักความสงบแต่เป็นมิตรมากๆ ได้พูดคุยกับพี่แว่นเกี่ยวกับแมวส้มตัวนั้น ซึ่งพี่ภูได้ตั้งชื่อว่า “ผึ้ง” พี่แว่นจึงเรียกตามพี่ภูเลยทันใดครับ อีผึ้งมันฉลาด มันหากินสองบ้าน คือบ้านพี่ภูและพี่แว่น แหม่ๆๆ อีนี้มันร้าย!! แต่ก็ขำๆครับ พี่แว่นเปิดบ้านต้อนรับผึ้งทุกวัน แต่ไม่ได้ให้ค้างอ้างแรมในบ้าน เพราะผึ้งไม่นอนเองครับ เหมือนกับว่ากลางคืนผึ้งเองนั้นมีที่ไปอยู่แล้ว
เป็นเวลาปีกว่าๆได้นะครับ ที่อีผึ้งแวะเวียนมาหา มากินขนม มาให้จกพุงเล่นๆ เวลาพี่แว่นถ่ายหนักมันก็เข้ามานั่งดูพี่แว่นถ่าย ซึ่งมันโดนสายฉีดน้ำฉีดอัดหน้ามานักต่อนักละครับ เหมือนบ้านพี่แว่นมีสมาชิกมาเพิ่มเลยก็ว่าได้ครับ อีผึ้งเป็นแมวไทยที่ไม่ซน ไม่ดีด ไม่วิ่งพล่าน นิสัยเหมือนแมวนอก ชอบอยู่นิ่งๆ ขอแค่เข้ามาหลบมุมตอนกลางวันก็พอใจแล้วสำหรับมัน
เมี๊ยววววววววววววว
เสียงเรียกลากยาวจากอีผึ้ง
ช่วงบ่ายแก่ๆวันนึง เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ประตูบ้านพี่แว่นเปิดโล่ง แต่อีผึ้งไม่มีท่าทีที่จะเข้ามาเหมือนเคย ได้แต่ร้องเสียงเมียวๆ ลากยาวๆ พี่แว่นเองก็เอะใจ จึงออกไปดูตามต้นตอของเสียงไป สภาพที่เห็นคืออีผึ้งนอนจมกองฉี่ของตัวเอง โดยที่ไม่ลุกไปไหน ตาของมันก็ยังคงมองตาพี่แว่นแล้วพลางส่งเสียงร้องเมี๊ยวววววว แบบลากยาว
พี่แว่นจับตัวมันพลิกไปพลิกมา เพื่อหาบาดแผลว่ามันโดนอะไรมาหรือเปล่า ซึ่งก็เจอครับ เหมือนมันโดนไล่ฟัดมา และมีแผลโดนกัดที่เท้าซ้าย ถ้าเป็นคนก็คงเป็นที่เอ็นร้อยหวายหละครับ พี่แว่นจึงเอารถ Honda City ของพี่แว่น นำร่างอันเปียกโชกไปด้วยฉี่ของมันนี่หละ พาไปโรงพยาบาลแถวๆต้นซอยแบริ่ง
คุณหมอสาวสวยได้วินิจฉัยว่า น่าจะโดนหมากัดมา แต่แฟลไม่ได้เวอะหวะแต่อย่างใด มันคงกลัวและช็อคจึงทำให้ได้เห็นมันในสภาพแบบนี้ พี่แว่นพามันกลับบ้านพร้อมยาเม็ดเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ได้มีอาการที่หนักหน่วงแต่อย่างใดครับ กลับมาบ้านก็พอเดินไหวนิดหน่อย มันก็เดินหายไปในเวลากลางคืนตามปกติ
ใจพี่แว่นเต้นไม่เป็นจังหวะ
หลังจากเห็นอีผึ้งนอนนิ่งกลางแดดจ้าหน้าบ้าน
สามวันหลังจากนั้น เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งพี่แว่นออกไปจัดแข่ง PB GFTC ที่ร้าน How แถวๆคลองตัน กลับมาถึงบ้านก็คล้อยบ่ายเต็มที พี่แว่นจอดรถหน้าบ้าน เห็นไกลๆ ว่าอีผึ้งนอนอยู่หน้าบ้าน แต่ที่ผิดปกติคือมันนอนกลางแดด ซึ่งผิดวิสัยของแมวมากๆ พี่แว่นจอดรถแล้วเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าอีผึ้งได้แน่นิ่งไปแล้ว จับตัวก็เย็นและแข็งไปแล้ว
หน้าชา ใจหายวาบ ไม่รู้ทำยังไง พี่แว่นไม่ร้องไห้นะแต่เกือบละ ตั้งสติก่อน หาแผลให้มันก่อน ซึ่งไม่เจอแผลใหม่เลย มีแต่รอยของแผลเก่าที่ใกล้จะหายแล้ว พี่แว่นเองก็แปลกใจนะ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงมานอนตายที่หน้าบ้านเรา พี่แว่นโทรหาแม่ เล่าเรื่องให้ฟังแม่ก็บอกว่าแมวมันรักเรา เลยมาเลือกที่ตายที่บ้านเรา ไม่รู้จะเชื่อดีมั้ย แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ทำให้อีผึ้งฟื้นขึ้นมาได้ครับ
พี่แว่นโทรเรียกพี่ยามหมู่บ้านว่าทำยังไงได้บ้าง ซึ่งพี่ยามก็ได้พาร่างอีผึ้ง ไปฝังที่ป่าหน้าหมู่บ้านครับ จบชีวิตของอีผึ้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งพี่ภูก็ยังไม่ทราบว่าอีผึ้งได้จากไปแล้ว พี่แว่นมีโอกาสได้เจอแกแล้วเปิดรูปที่ถ่ายไว้ให้แกดู พลางใจหายเสียงเศร้าๆไปเหมือนกันครับ
การจากลาเป็นสื่งที่ยากจะทำใจ แต่ทุกสิ่งย่อมมีการจากลาครับ ขนาดไม่ใช่แมวที่ตัวเองเลี้ยงมาแต่ตัวเล็กๆ ยังดึงความรู้สึกของเราได้ขนาดนี้ นี้ละมั้งที่เค้าเรียกว่า “ความผูกพัน”